King Vajiravudh

พระราชประวัติ



พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์จักรี ผู้ทรงได้รับการเฉลิมพระเกียรติคุณด้วยพระราชสมัญญาว่า “สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า”

พระราชสมภพ

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 29 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและเป็นพระองค์ที่ 2 ที่ประสูติแต่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ประสูติ ณ วันเสาร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2423 ตรงกับวันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้น 2 ค่ำ ปีมะโรง โทศก จุลศักราช 1242 (ร.ศ. 99) ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ มุสิกนาม ทรงมีพระเชษฐภคินีและพระอนุชาร่วมพระชนนี 7 พระองค์ คือ

  • สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าพาหุรัดมณีมัย กรมพระเทพนารีรัตน์ (พ.ศ. 2421-2430)
  • พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2423-2468)
  • สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าตรีเพ็ชรุตม์ธำรง (พ.ศ. 2424-2430)
  • จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ (พ.ศ. 2425-2463)
  • สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ (พ.ศ. 2428-2430)
  • สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย (พ.ศ. 2435-2466)
  • พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2436-2484)

ครั้นพระชนมายุย่างเข้า 9 พรรษาเมื่อ พ.ศ. 2431 ทรงรับพระราชทานสถาปนาพระอิสริยศักดิ์เป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ กรมขุนเทพทวารวดี ปรากฏพระนามตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ เอกอรรคมหาบุรุษยบรมนราธิราช จุฬาลงกรณ์นารถราชวโรรส มหาสมมติขัดติยพิสุทธิ บรมมกุฎสุริยสันตติวงษ อดิสัยพงษวโรภโตสุชาติ คุณสังกาศวิมลรัตน ทฤฆชนมสวัสดิ ขัดติยราชกุมาร ทรงดำรงพระเกียรติยศเป็นลำดับที่สองรองจาก สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร


การศึกษา

สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธเสด็จเข้าทรงศึกษาที่โรงเรียนราชกุมารในพระบรมมหาราชวังเมื่อพระชนมายุ 10 พรรษา โดยทรงเริ่มการศึกษามาก่อนหน้านั้นแล้ว ครูที่ถวายพระอักษรคือ พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจาริยางกูร) พระยาอิศรพันธุ์โสภณ (ม.ร.ว. หนู อิศรางกูร) และหม่อมเจ้าประภากร ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ส่วนครูภาษาอังกฤษ คือ นายโรเบอร์ต มอแรนต์ ซึ่งในภายหลังได้กลับไปดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงศึกษาธิการของประเทศอังกฤษและได้รับยศเป็นเซอร์

เมื่อพระชนมายุ 12 พรรษา เสด็จไปทรงศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ ด้วยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราโชบายที่จะส่งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอไปทรงศึกษาวิชาการสาขาต่างๆ ณ ทวีปยุโรป ในระยะแรกทรงศึกษากับครูที่พระตำหนักนอร์ธ ลอดจ์ เมืองแอสคอตโดยมิได้เสด็จเข้าโรงเรียน ระหว่างนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมารสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ให้ทรงดำรงพระราชอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมารแทนเมื่อ พ.ศ. 2437 และโปรดเกล้าฯ ให้ทรงศึกษาในประเทศอังกฤษต่อไป ต่อมาในพ.ศ. 2440 ทรงเข้าศึกษาวิชาทหารในโรงเรียนนายร้อยแซนด์เฮิร์สต์ และทรงเข้าอบรมหลักสูตรต่างๆ เพิ่มเติม ได้แก่ วิชาปืนเล็ก และวิชาทหารปืนใหญ่ภูเขา ทั้งยังได้ทรงเข้าประจำการในกองพันที่ 1 กรมทหารราบเบาเดอรัม อันเป็นการฝึกอบรมกองทหารเพื่อเตรียมไปราชการสงครามบัวร์ที่ประเทศแอฟริกาใต้ จากนั้น ใน พ.ศ. 2442 ทรงเข้าศึกษา ณ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด วิชาที่ทรงศึกษาคือ ประวัติศาสตร์ กฎหมาย และการปกครอง เนื่องจากพระองค์จะต้องทรงปกครองสยามประเทศต่อไปในอนาคต

การเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 6 ในพระบรมราชจักรีวงศ์ โดยมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2453 และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภชขึ้นระหว่างวันที่ 8 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2454 เนื่องจากทรงรู้จักคุ้นเคยกับพระราชาธิบดีหรือประธานาธิบดีของประเทศสำคัญๆ ทั่วโลก จึงมีพระราชประสงค์ให้มิตรประเทศได้รู้จักประเทศสยาม ซึ่งปรากฏว่าได้มีเจ้านายและผู้แทนรัฐบาลต่างประเทศมาร่วมในพระราชพิธีนี้ถึง 14 ประเทศ

พระมเหสีและพระราชธิดา

  • พระนางเธอลักษมีลาวัณ (พระนามเดิม หม่อมเจ้าวรรณพิมล วรวรรณ พระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ กับหม่อมหลวงตาด วรวรรณ (ราชสกุลเดิม มนตรีกุล))
  • พระสุจริตสุดา (คุณเปรื่อง สุจริตกุล ธิดาเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี)
  • สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา (คุณประไพ สุจริตกุล ธิดาเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี)
  • พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี (คุณเครือแก้ว อภัยวงศ์ ธิดาพระยาอภัยภูเบศร (เลื่อม อภัยวงศ์ และคุณเล็ก บุนนาค)
  • มีพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียว คือ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี

เสด็จสวรรคต

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เริ่มประชวรด้วยพระโรคลำไส้และพระโลหิตเป็นพิษเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2468 และเสด็จสวรรคตเมื่อเวลา 1.45 น. ของวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน พระชนมายุ 45 พรรษา รวมเวลาที่ทรงอยู่ในราชสมบัติ 15 ปี และทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญาเมื่อเสด็จสวรรคตแล้วว่า “สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า”



พระราชกรณียกิจ



การปกครอง

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีเริ่มพระราชภารกิจในด้านการปกครองมาแต่ครั้งดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทรงรับพระราชภาระเป็นผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร ในระหว่างที่สมเด็จพระบรมชนกนาถมิได้ประทับในพระนครอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรปครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2450

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเน้นความสำคัญของ “ชาติ” เป็นหัวใจของการปกครอง กล่าวคือ ทรงกระทำทุกวิถีทางเพื่อประโยชน์ของชาติ ซึ่งหมายถึงราษฎรที่เกิดเป็นไทย และในเวลาต่อมามีความหมายรวมถึงดินแดนที่เป็นของราษฎรที่เกิดเป็นไทยด้วย ไม่ว่าราษฎรเหล่านั้นจะมีเชื้อชาติและศาสนาใด ทรงพิจารณาเรื่องอันจะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองอย่างรอบคอบและรอบด้าน เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมจึงจะดำเนินการ

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากจะทรงดำเนินการปกครองตามแบบแผนที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่มไว้แล้ว ยังได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดการปรับเปลี่ยนบางอย่างเพิ่มเติมดังเช่น การปรับเปลี่ยนระเบียบราชการบางส่วนในกระทรวงมหาดไทย กล่าวคือ ใน พ.ศ. 2458 โปรดเกล้าฯ ให้รวมหัวเมืองมณฑลที่ใกล้เคียงกันจัดเป็นภาค และทรงแยกหัวเมืองในมณฑลพายัพออกเป็น 2 มณฑล คือ มณฑลพายัพ มีเขตปกครองคือ จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน แม่ฮ่องสอน เชียงราย กับมณฑลมหาราษฎร์ มีเขตปกครองคือ จังหวัดแพร่ ลำปาง และน่าน แล้วโปรดให้เรียกรวมว่า “มณฑลพายัพ” และทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลขึ้นเป็นอุปราชมณฑลภาคพายัพ

ต่อจากนั้นโปรดเกล้าฯ ให้รวมมณฑลนครไชยศรีและมณฑลราชบุรี จัดเป็น “มณฑลภาคตะวันตก” รวมมณฑลนครศรีธรรมราช มณฑลสุราษฎร์ธานี และมณฑลปัตตานี เป็น “มณฑลปักษ์ใต้” และรวมมณฑลอุดร มณฑลร้อยเอ็ด และมณฑลอุบล เป็น ภาคอีสาณ ตามลำดับ ทั้งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลขึ้นเป็นอุปราชมณฑลภาคนั้นๆ ส่วนมณฑลกรุงเก่า (มณฑลอยุธยา) ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลขึ้นเป็นอุปราชมณฑลกรุงเก่า และยังโปรดเกล้าฯ ให้ออกประกาศกำหนดอำนาจและหน้าที่ของอุปราชไว้ในปีเดียวกันนี้ด้วย


ประชาธิปไตย

แม้ว่าการปกครองในระบบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จะเป็นนิติธรรม ในการปกครองบ้านเมืองของสยาม พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงตระหนักดีว่าการปกครองบ้านเมืองโดยบุคคลคนเดียวเป็นความเสี่ยง หากได้ผู้ปกครองไม่ดีก็จะเป็นผลเสียแก่บ้านเมือง วิธีที่ดีที่สุดคือให้ราษฎรปกครองตนเอง แต่จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมให้ดีก่อน มิเช่นนั้นอาจเป็นผลเสียแก่บ้านเมืองได้ และด้วยทรงตระหนักในพระราชหฤทัยว่า พสกนิกรชาวสยามในเวลานั้นยังขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องสิทธิและหน้าที่อันเป็นรากฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย จึงมีพระราชดำรัสสั่งให้กระทรวงศึกษาธิการประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. 2464 ในทุกหัวเมืองมณฑลทั่วพระราชอาณาจักร ด้วยมีพระราชปรารภว่า “…เรามีความปรารถนาจะให้ประชาราษฎรของเราได้มีความรู้คั่นประถมศึกษาโดยทั่วถึงภายใน 15 ปี นับแต่เราขึ้นครองราชสมบัติ เพราะความตั้งใจของเรามีอยู่ว่า เมื่อเราครองราชย์ครบ 15 ปี เราจะมอบสิทธิ์การปกครองบ้านเมือง ให้ประชาชนของเรามีสิทธิ์มีเสียง แต่ถ้าเขายังไม่มีความรู้พอแก่การดำเนินการได้ ให้ไปก็เสื่อมประโยชน์ ได้ไม่เท่าเสีย…”

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริเกี่ยวกับการปกครองในระบบอบประชาธิปไตย มาแต่ครั้งทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทรงนำแนวคิดเรื่องระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ทรงทดลองปฏิบัติ ใน “สาธารณรัฐใหม่” (The New Republic) ซึ่งเป็นสาธารณรัฐสมมติที่ทรงจัดตั้งร่วมกับพระสหายชาวต่างประเทศ ขณะประทับ ณ กรุงปารีส มาทรงปฏิบัติจริงโดยทรงจัดตั้ง “เมืองมัง” ในบริเวณสวนอัมพวันด้านหลังพระตำหนักจิตรลดา มีวัตถุประสงค์เพื่อสอนให้มหาดเล็กรู้จักการปกครองตนเอง ดูแลบ้านเรือนของตนให้สะอาดเรียบร้อย ต่อมาใน พ.ศ. 2461 จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมืองจำลอง “ดุสิตธานี” ขึ้นภายในพระราชวังดุสิต ก่อนที่จะโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายไปสร้างใหม่ ในพื้นที่ว่างหลังพระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถานและพระที่นั่งพิมานจักรี ในพระราชวังพญาไทเมื่อ พ.ศ. 2462 จัดให้มีการปกครองตนเองในลักษณะการปกครองท้องถิ่น ในดุสิตธานีมีบ้านเมืองจำลองในอัตราส่วน 1:20 ประกอบด้วยวัด โรงพยาบาล โรงทหาร โรงเรียน ธนาคาร ร้านค้า ฯลฯ ทวยนาคร (พลเมือง) ประกอบอาชีพต่างๆ เป็นที่ทดลองการปกครองแผนใหม่ ให้ข้าราชการรู้จักการใช้สิทธิในการปกครองตนเอง การจัดทดลองการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่เมืองจำลองดุสิตธานีนี้ ได้ดำเนินเรื่อยมาจนพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต โดยยังไม่ทันได้พระราชทานการปกครองแบบประชาธิปไตยให้แก่ปวงชนชาวไทยดังพระราชปณิธานที่ทรงตั้งไว้


พระราชทานนามสกุลและโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัตินามสกุล

เพื่อเป็นการจัดระเบียบความสัมพันธ์ในสังคมที่เริ่มซับซ้อนขึ้นให้เป็นระบบ ช่วยให้การจัดเก็บข้อมูลต่างๆ เช่น การจัดทำสำมะโนประชากร ทำได้สะดวก ทั้งทำให้เกิดความเป็นธรรมเกี่ยวกับผลประโยชน์ในครอบครัว โดยนำหลักกฎหมายแบบตะวันตกมาใช้ จึงได้พระราชทานนามสกุล ซึ่งทรงพระราชอุตสาหะคิดนามสกุลพระราชทานแก่ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน รวมทั้งลูกเสือและนักเรียนถึง 6,432 นามสกุล และได้โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้นเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2445 และประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2456 ให้คนไทยทุกคนใช้นามสกุล


การทหารและการป้องกันประเทศ

เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จนิวัตพระนคร ทรงร่วมกับพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดช ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ

  • เร่งก่อตั้งกองทัพสยามให้เป็นกองทัพสมัยใหม่ตามแบบยุโรป
  • ทรงยกร่างพระราชบัญญัติเกณฑ์ทหาร พ.ศ. 2448 เพื่อเกณฑ์ชายฉกรรจ์เข้ารับราชการทหารแทนการเกณฑ์เลกเข้ารับราชการแบบโบราณ
  • ทรงร่วมกับพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดชจัดวางโครงสร้างกองทัพบกเป็น 10 กองพล กระจายกันอยู่ทั่วประเทศ เว้นแต่พื้นที่ที่มีสัญญาลับกับชาติมหาอำนาจ
  • โปรดเกล้าฯ ให้ยุบเลิกกรมยุทธนาธิการซึ่งปกครองบังคับบัญชาราชการฝ่ายทหารบก แล้วโปรดให้ยกราชการฝ่ายทหารบกไปขึ้นสังกัดในกระทรวงกลาโหม
  • ยกกรมทหารเรือขึ้นเป็นกระทรวงทหารเรือ
  • โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง “สภาการทัพ” เพื่อปรึกษาคำริกิจการป้องกันพระราชอาณาจักร ซึ่ง “สภาการทัพ” นี้ได้พัฒนาเป็นสภากลาโหม ในปัจจุบัน
  • โปรดเกล้าฯ ให้ยกกรมวังนอกซึ่งเป็นส่วนราชการในพระราชสำนักขึ้นเป็น “กรมทหารรักษาวัง” โดยจัดกำลังรบและการปกครองบังคับบัญชาแบบกรมทหารเต็มรูป แต่ให้ขึ้นกับกระทรวงวังซึ่งเบิกจ่ายงบประมาณทั้งหมดจาก พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์

ทรงจัดตั้งกองเสือป่า

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดตั้งกองเสือป่าขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2454 โดยมีจุดมุ่งหมายเกี่ยวกับการรักษาดินแดนของประเทศเป็นสำคัญ มีพระบรมราชาธิบายว่า “เสือป่า” นั้น คือทหารที่ท่านใช้ไปสืบข่าวข้าศึก เพื่อแม่ทัพจะได้รู้พอเป็นเลาๆ ว่าข้าศึกนั้นจะยกมาทางใด มีกำลังเพียงใด ท่าทางจะรบพุ่งอย่างไร ตรงกับที่ในกองทัพบกทุกวันนี้เรียกว่า “ผู้สอดแนม” นอกจากนั้นยังทรงมุ่งหมายจะอบรมให้รู้ประวัติศาสตร์ของชาติไทย ให้มีความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ นับเป็นการพัฒนาบุคคลทางหนึ่ง โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสอนเองในเรื่องของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ได้ทรงจัดให้มีการแสดงตำนานเสือป่าที่สนามเสือป่า เพื่อให้เสือป่าเข้าใจว่าชาติไทยเคยเจริญรุ่งเรือง โดยเฉพาะทางจิตใจมาแต่โบราณกาล บรรพบุรุษได้เคยเสียสละชีวิตและเลือดเนื้อเพื่อรักษาบ้านเมืองเอาไว้ ทรงสอนยุทธวิธีเบื้องต้น และทรงสอนธรรมะซึ่งรวมเรียกกันว่า “เทศนาเสือป่า”

สำหรับการจัดตั้งกองกำลังเสือป่านั้น ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ จัดแบ่งสมาชิกเสือป่าออกเป็น 3 กอง คือ กองร้อยที่ 1 และกองร้อยที่ 2 กับมีกองฝึกหัดอีก 1 กอง โดยกองร้อยที่ 1 ทำหน้าที่เป็นกองรักษาพระองค์ร่วมกับหน่วยทหารรักษาพระองค์ ต่อมาบรรดาข้าราชการและบุคคลพลเรือนในหัวเมืองมณฑลต่างๆ ได้พร้อมใจกันยื่นใบสมัครจนสามารถจัดตั้งกองเสือป่ารักษาดินแดนขึ้นในหัวเมืองมณฑลทั่วพระราชอาณาจักรไม่เว้นแม้แต่พื้นที่ที่มีสัญญาลับกับชาติมหาอำนาจ เพราะเสือป่ามิใช่ทหารแต่เป็นบุคคลพลเรือนที่ได้รับการฝึกเยี่ยงทหาร


พระราชทานกำเนิดกิจการลูกเสือในประเทศไทย

หลังจากทรงตั้งกองเสือป่าแล้ว ทรงเห็นว่าหากเยาวชนของชาติได้รับการฝึกหัดให้มีวินัยและได้เรียนรู้วิธีสืบข่าวเสียแต่ยังเยาว์ เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ นอกจากจะมีระเบียบวินัยเป็นพลเมืองดีของชาติแล้ว ยังจะสามารถนำความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติได้ด้วย จึงทรงยกร่าง “ข้อบังคับลักษณะปกครองลูกเสือ” โปรดเกล้าฯ ให้ตรา ข้อบังคับนี้ไว้เมื่อวันเสาร์ที่ 1 กรกฎาคม 2454 นับเป็นประเทศที่สามของโลกที่จัดให้มีกิจการลูกเสือ ต่อมาได้ โปรดเกล้าฯ ให้ขยายการจัดตั้งกองลูกเสือออกไปยังโรงเรียนต่างๆ จนมีกองลูกเสืออยู่ทั่วพระราชอาณาจักร

เมื่อทรงจัดตั้งกองเสือป่าและลูกเสือแล้ว ได้ทรงนำทั้งเสือป่า ลูกเสือรวมทั้ง ทหาร ตำรวจ เดินทางไกลไปเพื่อซ้อมรบที่นครปฐม ราชบุรี และกาญจนบุรีเป็นประจำ คราวละประมาณหนึ่งเดือนเพื่อฝึกฝนให้อดทนต่อสู้กับความลำบากนานาชนิด


กองทัพเรือ

ในปี พ.ศ. 2457 โปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง “ราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยาม” ในพระบรมราชูปถัมภ์ขึ้น เพื่อเรี่ยไรเงินซื้อเรือรบชนิดที่เรียกว่า เรือลาดตระเวนอย่างเบา ระวางขับน้ำ 5,000 ตันลงมา อันเป็นเรือที่มีความคล่องตัวสูง โดยพระราชทานเงินส่วนพระองค์เป็นทุนประเดิมจำนวน 80,000 บาท และโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินรายได้ต่างๆ สมทบกับเงินที่ราษฎรทั่วราชอาณาจักรบริจาคไปจัดซื้อเรือจากประเทศอังกฤษ ได้เรือพิฆาตตอร์ปิโด 1 ลำ พระราชทานนามว่า “เรือพระร่วง”และพระราชทานนามใหม่อีกครั้งว่า “เรือรบหลวงพระร่วง” เมื่อ พ.ศ. 2463 ส่วนเงินที่เหลือจากการซื้อเรือ ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานให้กองทัพเรือไว้ใช้ในราชการต่อไป

และในคราวเสด็จพระราชดำเนินเลียบหัวเมืองชายทะเลมณฑลจันทบุรี เมื่อ พ.ศ. 2457 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศสงวนพื้นที่ชายฝั่งทะเลสัตหีบตั้งแต่เกล็ดแก้วไปจนถึงแสมสารเพื่อประโยชน์แก่ราชการกองทัพเรือ ซึ่งต่อมาในพ.ศ. 2463 เมื่อกระทรวงทหารเรือสำรวจพื้นที่ชายฝั่งแล้วเห็นว่าพื้นที่ดังกล่าวมีความเหมาะสมในทางยุทธศาสตร์ นายพลเรือเอก พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ จึงได้ขอพระราชทานที่ดินอ่าวสัตหีบไปจัดสร้างเป็นฐานทัพเรือ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาติตามที่ขอพระราชทาน

นอกจากนั้น ยังโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้นายนาวาตรี หลวงหาญสมุท (บุญมี พันธุมนาวิน) ไปประจำการในกองทัพเรืออังกฤษ เพื่อเรียนรู้วิธีบังคับเรือใต้น้ำของกองทัพเรืออังกฤษในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 จนสามารถนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับมาจัดตั้งกองเรือใต้น้ำขึ้นในราชนาวีสยามจนเป็นผลสำเร็จในเวลาต่อมา


กองทัพอากาศ

สืบเนื่องจากการที่โปรดเกล้าฯ ให้กองทหารอาสาสมัครไปร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2460 และกองทัพฝรั่งเศสได้ให้การอนุเคราะห์ฝึกบินและซ่อมบำรุงให้นายทหารในกองบินทหารบกจนสามารถสอบไล่ได้เป็นนักบินและช่างซ่อมบำรุงอากาศยานจำนวนหนึ่ง นายทหารที่ได้รับการฝึกดังกล่าวได้นำความรู้นั้นมาพัฒนากรมอากาศยานทหารบกจนเจริญก้าวหน้าเป็นกองทัพอากาศในเวลาต่อมา


การเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จไปทรงศึกษาที่ประเทศอังกฤษและประทับอยู่ในประเทศอังกฤษเป็นเวลา 9 ปี เนื่องด้วยพระราชฐานันดรศักดิ์สยามมกุฏราชกุมาร ทำให้ทรงได้รับความเลื่อมใสจากราชสำนักต่างๆ ของตะวันตก ทรงได้รับการทูลเชิญไปเยือนราชสำนักหลายแห่ง และได้ทรงร่วมในพระราชพิธีสำคัญต่างๆ หลายครั้ง จึงเป็นพื้นฐานให้นานาชาติยอมรับว่าสยามประเทศมีฐานะเท่าเทียมชาติตะวันตกในเวลาต่อมา นับว่าทรงปฏิบัติพระราชภารกิจในการเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศมาตั้งแต่ต้น ทั้งก่อนเสด็จนิวัตพระนคร นอกจากจะได้เสด็จไปทรงเฝ้าพระราชาธิบดีและทรงพบประมุขของประเทศต่างๆ แล้ว ยังได้เสด็จไปเยือนประเทศรุสเซีย ออสเตรีย อียิปต์ อิตาลี ฝรั่งเศส ฮังการี สเปน โปรตุเกส เยอรมนี สหรัฐอเมริกา แล้วเสด็จต่อไปยังประเทศญี่ปุ่น และทรงแวะที่ฮ่องกงเป็นลำดับสุดท้ายก่อนเสด็จถึงพระนครใน พ.ศ. 2445 ทำให้ได้ทอดพระเนตรความเจริญของบ้านเมือง รวมทั้งความเป็นอยู่ของประชาชน การประกอบอาชีพ การศึกษา การทหาร การคมนาคม และโบราณสถานของประเทศเหล่านั้น

ในการเสด็จนิวัตพระนครนี้เรียกได้ว่าเสด็จโดยวิธี “รอบพิภพ” เพราะทรงผ่านทั้งมหาสมุทรแอตแลนติกและแปซิฟิก ดังนั้น จึงทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์แรกที่เดินทาง “รอบโลก” ได้ทอดพระเนตรความเจริญของ “โลกเก่า” คือประเทศอียิปต์และนานาประเทศในทวีปยุโรป “โลกใหม่” คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา และ “โลกเอเชียสมัยใหม่” คือ ประเทศญี่ปุ่น ดังนั้นนอกจากจะทรงทำหน้าที่เจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆ อย่างดียิ่งแล้ว ประสบการณ์อันมีค่าที่ทรงได้รับนี้ยังเป็นประโยชน์ในการช่วยราชการสมเด็จพระบรมชนกนาถ และการบริหารราชการในเวลาต่อมา

เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชสมบัติแล้ว ได้เสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนรถไฟจากสถานีบางกอกน้อยไปจนสุดพระราชอาณาจักรสยามที่สถานีปาดังเบซาร์ แล้วประทับกระบวนรถไฟพระที่นั่งซึ่งเปลี่ยนไปใช้หัวรถจักรมลายูลากจูง เสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐมลายูของอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2467 นับเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในรัชกาลที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ


การส่งทหารเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตัดสินพระทัยประกาศสงครามกับชาติมหาอำนาจกลางอันประกอบด้วย เยอรมนี และออสเตรเลีย-ฮังการี ในสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 และส่งทหารไปช่วยฝ่ายสัมพันธมิตร ด้วยทรงมีพระราชประสงค์จะเผยแพร่เกียรติคุณให้นานาประเทศรู้จักชาติไทย และเพื่อขจัดปัญหาสนธิสัญญาต่างๆ ที่นานาชาติพยายามผูกมัดไทย ส่งผลให้สนธิสัญญาต่างๆ ที่รัฐบาลสยามทำไว้กับรัฐบาลเยอรมนีและออสเตรเลีย-ฮังการีสิ้นสุดลง ทำให้สามารถยกเลิกข้อผูกมัดเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตและภาษีร้อยชักสามที่ทำไว้กับทั้งสองประเทศได้ และเมื่อภาวะสงครามสิ้นสุดลง ประเทศสยามยังได้เป็นสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งสันนิบาตชาติอันเป็นต้นกำเนิดขององค์การสหประชาชาติ เป็นภาคีสมาชิกสหภาพสากลไปรษณีย์ องค์การอนามัยโลก สหพันธ์สภากาชาดและเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ และองค์การลูกเสือโลก ทั้งยังทรงใช้ประโยชน์จากการที่ประเทศสยามเป็นผู้ชนะในสงครามโลกครั้งที่ 1 ดำเนินการแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ทั้งสนธิสัญญาว่าด้วยสิทธิสภาพนอกอาณาเขตซึ่งมีข้อสัญญาลิดรอนอำนาจศาลไทย รวมทั้งภาษีร้อยชักสามที่ทำให้สยามประเทศต้องเสียเปรียบในการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งสามารถดำเนินการแก้ไขได้เสร็จสมบูรณ์เป็นส่วนมาก ในตอนปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ส่วนการให้สัตยาบันในสนธิสัญญาที่แก้ไขมาเสร็จสมบูรณ์ในตอนต้นรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว)

นอกจากนั้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ก่อนที่จะทรงประกาศสงคราม เมื่อได้ทรงทราบว่านายทหารในกองพันที่ 1 กองทหารราบเบาเดอรัม ซึ่งเคยเสด็จประจำการ ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในสงครามเป็นจำนวนมาก จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินส่วนพระองค์จำนวน 1,000 ปอนด์ให้รัฐบาลอังกฤษนำไปจัดการช่วยเหลือบุตรกำพร้าและภรรยาหม้ายของนายทหารและพลทหารของกรมดังกล่าว ซึ่งต่อมา ใน พ.ศ. 2458 สมเด็จพระเจ้ายอร์ช ที่ 5 พระราชาธิบดีแห่งกรุงบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ได้มีพระราชโทรเลขอัญเชิญให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรับพระยศเป็นนายพลเอกพิเศษแห่งกองทัพบริเตน


การเศรษฐกิจ

ด้วยทรงมีพระราชดำริห่วงใยในการรักษาทรัพย์ของราษฎร จึงทรงหยิบยกเรื่องดังกล่าวเข้าหารือที่ประชุมเสนาบดีสภา เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2455 เมื่อที่ประชุมสภาเห็นชอบตามพระราชดำริแล้ว จึงทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติดำเนินการจัดตั้ง “คลังออมสิน” ขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2456 การที่ทรงจัดตั้งคลังออมสินขึ้นนี้นอกจากจะเป็นประโยชน์ในทางรักษาทรัพย์ของราษฎรแล้ว ยังเป็นหนทางในการสะสมทุนสำรองเพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาติอีกด้วย

โปรดเกล้าฯ ให้กรมพระคลังข้างที่เข้าร่วมหุ้นจัดตั้ง “บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัดสินใช้” ขึ้นใน พ.ศ. 2456 เพื่อผลิตปูนซิเมนต์รองรับงานต่างๆ ทดแทนการนำเข้า ทั้งมีพระราชประสงค์สำคัญเพื่อฝึกคนไทยให้รู้จักประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมขนาดใหญ่

โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมสถิติพยากรณ์ ใน พ.ศ. 2458 เพื่อรวบรวมสถิติ “อันเป็นรายละเอียดแห่งการหมุนเวียนแห่งทรัพย์” ซึ่งเป็นการวางรากฐานการพาณิชย์ของประเทศ ต่อมาใน พ.ศ. 2463 โปรดเกล้าฯ ให้ยกขึ้นเป็น “สภาเผยแพร่พาณิชย์และสถิติพยากรณ์” มีฐานะเทียบเท่ากระทรวง มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและให้ความช่วยเหลือแก่หน่วยงานต่างๆ ที่มีหน้าที่อุดหนุนและส่งเสริมการพาณิชย์ของประเทศ

โปรดเกล้าฯ ให้เลิกการพนันหวย ก ข ใน พ.ศ. 2458 และเลิกบ่อนเบี้ยใน พ.ศ. 2459 ตามลำดับ

โปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้าง “เขื่อนพระราม 6” กั้นลำน้ำป่าสักที่อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อทดน้ำและส่งน้ำลงสู่ท้องทุ่งด้านตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา จัดเป็นเขื่อนทดน้ำและส่งน้ำแห่งแรกของประเทศไทย ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2467

โปรดเกล้าฯ ให้ประเทศสยาม ใช้มาตราชั่งตวงวัดแบบเมตริกเป็นมาตรฐานในการซื้อขายสินค้า เมื่อ พ.ศ. 2467


การศึกษาของชาติ

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักว่าการศึกษาเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศ ทุกด้าน ดังนั้น ครั้งยังทรงดำรงพระราชอิสริยยศ เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เมื่อเสด็จนิวัตพระนคร จึงได้ทรงริเริ่มวางรากฐานการศึกษาสำหรับสตรี โดยกราบบังคมทูลถวายคำแนะนำให้สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถในขณะนั้น ทรงตั้งโรงเรียนราชินี เพื่อเป็นต้นแบบการจัดการศึกษาสำหรับสตรี รวมทั้งทรงสนับสนุนให้กระทรวงธรรมการจัดวางหลักสูตรการศึกษาสำหรับสตรีด้วย และเพราะทรงเห็นความสำคัญของการศึกษานี้ จึงทรงเริ่มวางรากฐานการศึกษาของชาติเป็นพระราชกรณียกิจแรกในตอนต้นรัชกาล

พ.ศ. 2453 โปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง “โรงเรียนมหาดเล็กหลวง” ขึ้นในพระบรมมหาราชวัง ด้วยทรงมุ่งหมายจะให้เป็นโรงเรียนกินนอน สอนชั้นมัธยมศึกษา และทรงควบคุมการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด “โรงเรียนมหาดเล็กหลวง” นี้ ต่อมาได้พัฒนาเป็น “วชิราวุธวิทยาลัย” ในต้นรัชกาลที่ 7

ในปีเดียวกัน ได้โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา “โรงเรียนมหาดเล็ก” ขึ้นเป็นสถาบันอุดมศึกษา พระราชทานนามว่า “โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” เพื่อเป็นสถานฝึกหัดราชการฝ่ายพลเรือน

พ.ศ. 2456 เกิดแผนการศึกษาชาติ เพื่อสนับสนุนให้การศึกษากว้างขวางยิ่งขึ้น โดยกำหนดให้จัดระเบียบการศึกษาเป็นระดับอนุบาล ประถม มัธยม และอุดมศึกษา ซึ่งใช้กันมาจนทุกวันนี้ นอกจากนั้นในแผนการศึกษานี้ยังมีหลักสูตรอาชีวศึกษาในระดับมัธยมต้นขึ้นเป็นครั้งแรก ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนเพาะช่างและโรงเรียนพณิชยการขึ้นในปีเดียวกัน และตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมขึ้นใน พ.ศ. 2460 เนื่องจากทรงมีพระราชประสงค์จะส่งเสริมให้ราษฎรประกอบอาชีพต่างๆ เพื่อช่วยกันสร้างความเจริญและความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้บ้านเมือง

พ.ศ. 2458 ด้วยทรงเห็นว่าควรขยายกิจการ “โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ให้กว้างขวางขึ้น จึงพระราชทานเงินทุนที่เหลือจากการที่ราษฎรได้เรี่ยไรเพื่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้าจำนวนเก้าแสนกว่าบาท ให้ใช้สร้างอาคารเรียนและเป็นตึกบัญชาการบนที่ดินของพระคลังข้างที่จำนวน 1,309 ไร่ ที่อำเภอปทุมวัน และเงินที่เหลือจากการสร้างก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้เพื่อกิจการของโรงเรียนต่อไป ทั้งนี้ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางศิลาพระฤกษ์ในการสร้างอาคารเมื่อ 3 มกราคม พ.ศ. 2458

พ.ศ. 2459 โปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงธรรมการดำเนินการสนองพระราชดำริในเรื่องการจัด “โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ขึ้นเป็น “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” เมื่อ 26 มีนาคม พ.ศ. 2459 เพื่อเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์เฉลิมพระเกียรติแห่งสมเด็จพระบรมชนกาธิราชให้เจริญก้าวหน้ากว้างขวางแผ่ไพศาลต่อไป

พ.ศ. 2461 โปรดเกล้าฯ ให้ออกพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ เพื่อควบคุมการดำเนินงานของโรงเรียนเอกชน

พ.ศ. 2464 โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติประถมศึกษาเป็นการศึกษาภาคบังคับ เพื่อขยายการศึกษาในระดับประถมซึ่งจัดให้มีอยู่แล้วตั้งแต่รัชกาลก่อนให้ทั่วประเทศ อันมีผลบังคับให้เด็กไทยทุกคนที่มีอายุระหว่าง 7-14 ปีเข้าเรียนในโรงเรียนจนจบชั้นประถมศึกษาหรืออ่านออกเขียนได้


การรถไฟ

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบำรุงกิจการรถไฟตามพระราชดำริในสมเด็จพระบรมชนกนาถ โดยโปรดเกล้าฯ ให้ขยายทางรถไฟสายใต้ไปต่อกับทางรถไฟสายมลายูของอังกฤษที่ปาดังเบซาร์และสุไหงโกลก สายเหนือไปถึงเชียงใหม่ สายตะวันออกไปถึงอรัญประเทศ สายตะวันออกเฉียงเหนือถึงหนองคายและอุบลราชธานี และให้เชื่อมทางรถไฟสายต่างๆ ไว้ที่กรุงเทพฯ เป็นชุมทางแห่งเดียว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพานพระราม 6 อันเป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งแรกเพื่อเชื่อมทางรถไฟสายใต้ให้ถึงสถานีกรุงเทพฯ และรวมการบัญชาการกรมรถไฟสายเหนือและกรมรถไฟสายใต้เข้าด้วยกันเป็น “กรมรถไฟหลวง” และ “กรมรถไฟหลวงแห่งกรุงสยาม” ตามลำดับ อันเป็นกิจการของชาวไทยโดยเด็ดขาด อีกทั้งยังทรงทะนุบำรุงการคมนาคมในหัวเมืองโดยสร้างถนนเชื่อมต่อกับทางรถไฟเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ราษฎร เช่น จากสถานีรถไฟจากนครลำปางไปยังเมืองเชียงราย และจากสถานีรถไฟตะพานหิน จังหวัดพิจิตรไปยังจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นต้น (พระผู้ทรงสร้าง : 32 งานเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ และสมเด็จพระรามาธิบดี)


การสร้างสะพานข้ามคลองชุดที่มีชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่า “เจริญ”

ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการสร้างสะพานข้ามคลองที่มีชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่าเฉลิมหลายแห่ง มาในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้ทรงเจริญรอยพระยุคลบาทสมเด็จพระบรมชนกนาถด้วยการพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดสร้างสะพานชุด “เจริญ” โดยมีตัวเลขจำนวนปีพระชนมพรรษาต่อท้าย และมีอักษรพระบรมนามาภิไธย ว.ป.ร. ประดับที่ราวสะพานทั้งสองฝั่งเช่นเดียวกับสะพานชุดเฉลิมโดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพานชุดนี้เรียงลำดับมาแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2454 ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาปีที่สองในรัชกาล คือ

  1. สะพานเจริญรัช 31 ข้ามคลองคูเมืองเดิม ตำบลปากคลองตลาด
  2. สะพานเจริญราษฎร์ 32 ข้ามคลองมหานาค ที่ถนนกรุงเกษม
  3. สะพานเจริญพาศน์ 33 ข้ามคลองบางกอกใหญ่ ที่ถนนอิสรภาพ
  4. สะพานเจริญศรี 34 ข้ามคลองคูเมืองเดิม บริเวณวัดบุรณศิริมาตยาราม
  5. สะพานเจริญทัศน์ 35 ข้ามคลองวัดสุทัศน์เทพวราราม ที่ถนนบำรุงเมือง
  6. สะพานเจริญสวัสดิ์ 36 ข้ามคลองผดุงกรุงเกษม ที่ถนนเจริญกรุง หน้าสถานีรถไฟกรุงเทพฯ
  7. สะพานเจริญศรัทธา ข้ามคลองเจดีย์บูชา จังหวัดนครปฐม เพื่อเชื่อมเส้นทางคมนาคมระหว่างสถานีรถไฟนครปฐมกับองค์พระปฐมเจดีย์ ซึ่งเป็นสะพานคอนกนรีตเสริมเหล็กแห่งแรกที่สร้างขึ้นในหัวเมือง


กระทรวงคมนาคม

ใน พ.ศ. 2455 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงโยธาธิการดูแลรับผิดชอบการส่งข่าวสารและ การทำทางทั้งทางน้ำทางบก พระราชทานนามใหม่ว่า “กระทรวงคมนาคม” และโปรดเกล้าฯ ให้วิศวกรผู้ชำนาญการออกไปประจำอยู่ทุกมณฑล


การขนส่งไปรษณียภัณฑ์ทางอากาศ

โปรดเกล้าฯ ให้มีการขนส่งไปรษณีย์ภัณฑ์ทางอากาศเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2462 ในเส้นทางกรุงเทพฯ - จันทบุรี และโปรดเกล้าฯ ให้ขยายกิจการไปทางภาคอีสานอีก 2 เส้นทาง จากนครราชสีมา – ร้อยเอ็ด – อุบลราชธานี ในปีพ.ศ. 2465 และจากนครราชสีมา – ร้อยเอ็ด – อุดรธานี – หนองคาย ใน พ.ศ. 2466


การโทรเลข

โปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงทหารเรือเปิดการสื่อสารวิทยุโทรเลขระหว่างสถานีวิทยุโทรเลขศาลาแดงที่กรุงเทพฯกับจังหวัดสงขลา และโปรดเกล้าฯ ให้กำหนดรหัสสัญญาณรับส่งโทรเลขเป็นภาษาไทยขึ้นใช้เป็นผลสำเร็จ


กฎหมาย

กฎหมายเป็นวิชาสำคัญวิชาหนึ่งที่ทรงศึกษา ณ มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ที่ทรงนำมาช่วยเหลือกิจการสภาส่วนพระองค์ของสมเด็จพระบรมชนกนาถว่าด้วยเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศ ทรงช่วยร่างกฎหมายทหาร (พระธรรมนูญศาลทหารและกฎอัยการศึก) และได้พระราชนิพนธ์หนังสือว่าด้วยกฎหมายนานาประเทศเพื่อให้ความรู้แก่ราษฎรทั่วไป เน้นเรื่องการปฏิบัติของประเทศ (Public International Law) ให้เป็นแบบอย่างในการเรียบเรียงตำรากฎหมายไทย และก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ไม่นานนัก ทรงได้รับมอบหมายให้เป็นผู้กำกับราชการกระทรวงยุติธรรม

โปรดเกล้าฯ ให้ออกประกาศพระบรมราชโองการจัดระเบียบราชการกระทรวงยุติธรรม “…ลงเปนระเบียบเดียวกับประเทศอื่น...” เมื่อ พ.ศ. 2455

โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติทนายความ เพื่อคุ้มครองโจทก์จำเลยผู้มีอรรถคดีในศาลยุติธรรม และจัดตั้งเนติบัณฑิตยสภา ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อบำรุงวิชากฎหมายและสอดส่องความประพฤติของทนายความ เมื่อ พ.ศ. 2457 ทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้ยกโรงเรียนกฎหมายที่พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงตั้งขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้เป็นโรงเรียนหลวงสังกัดกระทรวงยุติธรรม อันเป็นการรับรองหลักสูตรการศึกษาวิชากฎหมายตามแบบอย่างอารยประเทศ ในปีเดียวกันนี้อีกด้วย

โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งกรมร่างกฎหมาย เพื่อยกร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รวมทั้งการพิจารณายกร่างกฎหมายต่างๆ ในปี พ.ศ. 2466


โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักดีถึงความสำคัญของสุขภาพอนามัยของราษฎร ทรงถือว่า “ถ้าพลเมืองป่วยไข้ไม่สมประกอบ ต้องนับว่าประเทศนั้นขาดปัจจัยแห่งความสมบูรณ์” จึงมีพระราชดำริที่จะจัดสร้างโรงพยาบาลของสภากาชาดสยามขึ้น ทรงพระราชทานเงินส่วนพระองค์จำนวน 5,800 บาท ร่วมกับพระราชโอรสพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทุกพระองค์ทรงพร้อมพระทัยกันร่วมบริจาคสมทบรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 122,910 บาท เพื่อจัดสร้างโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เป็นพระบรมราชานุสาวรีย์เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสืบมา พระองค์ทรงเสด็จพระราชดำเนินเปิดโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2457


วชิรพยาบาล

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้กรมพระคลังข้างที่ซื้อตึกและที่ดินริมถนนสามเสน แล้วพระราชทานให้กระทรวงนครบาลจัดเป็นโรงพยาบาลสำหรับรักษาพยาบาลผู้เจ็บป่วยในพื้นที่ตอนเหนือของกรุงเทพฯ พระราชทานนามว่า “วชิรพยาบาล” เสด็จพระราชดำเนินเปิดโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2455


โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต

เมื่อคราวพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลปักษ์ใต้ พ.ศ. 2460 ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้ในการก่อสร้างตึกวชิระพยาบาล ตามข้อมูลในเอกสารจดหมายเหตุประมวลได้ว่า ใน พ.ศ. 2460 ทรงเห็นว่าโรงพยาบาลสุขาภิบาลที่ภูเก็ตคับแคบและถูกน้ำท่วมเสมอ ควรสร้างโรงพยาบาลใหม่ให้ทันสมัย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หาทำเลที่ตั้งโรงพยาบาลใหม่ และทรงเลือกบริเวณเขารังซึ่งเป็นที่ตั้งอาคารทำการของศึกษาธิการมณฑลภูเก็ต แล้วพระราชทานเงิน 30,000 บาท สำหรับก่อสร้างอาคารที่ทำการโรงพยาบาล อาคารที่พักผู้ป่วย อาคารที่พักแพทย์ และโรงครัว ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมโรงพยาบาลสุขาภิบาลเข้ากับโรงพยาบาลวิชระภูเก็ต


รากฐานการประปาในกรุงเทพฯ

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้กรมศุขาภิบาล กระทรวงนครบาลเริ่มวางรากฐานการประปาในกรุงเทพฯมาตั้งแต่ครั้งทรงเป็นผู้สำเร็จราชการรักษาพระนครในปีพ.ศ. 2450 มีการขุดคลองจากเชียงรากมาถึงโรงกรองน้ำที่สามเสน รวมทั้งฝังท่อส่งน้ำจากโรงกรองน้ำไปยังบ้านเรือนของราษฎรในกรุงเทพฯ แล้วเสร็จในปีพ.ศ. 2457


การเสด็จประพาสหัวเมือง

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งเมื่อทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จประพาสหัวเมืองมณฑลพายัพ เมื่อ พ.ศ. 2448 ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจากกรุงเทพฯ ไปในการทรงเปิดทางรถไฟสายเหนือที่สถานีชุมทางบ้านภาชี แล้วเสด็จ พระราชดำเนินโดยขบวนรถไฟไปถึงสถานีปากน้ำโพเมืองนครสวรรค์ ต่อจากนั้นได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังเมืองพิจิตร พิษณุโลก อุตรดิตถ์ แพร่ ลำปาง พะเยา พาน เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน แล้วกลับมาประทับที่เชียงใหม่ นอกจากนั้นระหว่างทางเสด็จกลับจากเชียงใหม่มากรุงเทพฯ ยังได้เสด็จประพาสเมืองตาก กำแพงเพชร บรรพตพิสัย ชัยนาท สิงห์บุรี และอ่างทองในมณฑลกรุงเก่าอีกด้วย รวมระยะเวลาในการเสด็จประพาสทั้งหมด 3 เดือน จากการเสด็จประพาสครั้งนั้น ได้เสด็จตรวจสถานที่ราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนรวมทั้งสภาพวัดและโบราณสถาน ได้ทอดพระเนตรเห็นสภาพภูมิประเทศ สภาพบ้านเมือง และความเป็นอยู่ของราษฎร

ครั้นใน พ.ศ. 2452 ได้เสด็จพระราชดำเนินหัวเมืองมณฑลปักษ์ใต้เพื่อทอดพระเนตรภูมิประเทศและชัยภูมิในแนวคอคอดกระกับสภาพบ้านเมืองและความเป็นอยู่ของราษฎร ในการเสด็จครั้งนั้นเสด็จโดยเรือพระที่นั่งจักรีจากกรุงเทพฯ ไปทรงขึ้นบกที่ชุมพร แล้วเสด็จพระราชดำเนินตามแนวคอคอดกระจนถึงปากจั่น อำเภอกระบุรี จังหวัดระนองซึ่งเป็นเขตแดนต่อเมืองมลิวันของอังกฤษ แล้วเสด็จต่อไปยังเมืองระนอง ตะกั่วป่า ภูเก็ต พังงา ตะกั่วทุ่ง กระบี่ เกาะลันตา ตรัง ทับเที่ยง ทุ่งสง ร่อนพิบูลย์ และนครศรีธรรมราช

เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว ยังได้เสด็จเลียบมณฑลปักษ์ใต้อีก 2 ครั้ง ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2458 ครั้งนี้ได้เสด็จไปถึงหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นราธิวาส สายบุรี ปัตตานี สงขลา พัทลุง ตรัง ภูเก็ต นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และชุมพร ครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2460 ได้เสด็จพระราชดำเนินข้ามคอคอดกระจากเมืองชุมพรไปยังตำบลมะมุ อำเภอ กระบุรี จังหวัดระนองซึ่งเป็นเขตแดนต่อเมืองมลิวันของอังกฤษอีกครั้งหนึ่ง ต่อจากนั้นได้เสด็จประพาสเมืองระนอง ภูเก็ต ตรัง กันตัง นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี หลังสวน ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ และเพชรบุรี

การที่ได้เสด็จประพาสหัวเมืองฝ่ายเหนือจนถึงเมืองเชียงใหม่ และหัวเมืองปักษ์ใต้นี้ทำให้ทรงมีความรู้เรื่องของราษฎรที่มีวัฒนธรรมต่างกัน ทรงสานต่องานด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี ทำให้มีการเขียนประวัติศาสตร์ของชาติสยามอย่างเป็นรูปธรรมในเวลาต่อมา และการเสด็จประพาสหัวเมืองนี้ ยังทำให้ทรงมีโอกาสเปรียบเทียบทรัพยากรของสยามกับนานาประเทศที่เคยเสด็จประพาส นับเป็นต้นทุนในการวางแผนสร้าง “สยามรัฐ” อย่างเป็นระบบในรัชกาลของพระองค์อีกด้วย


ศาสนา

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ทรงผนวชในขณะดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรสเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ ตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคม ถึง วันที่ 11 ธันวาคม 2447 มีพระสมณฉายาว่า “วชิราวุโธ” เสด็จจำพรรษา ณ พระตำหนักปั้นหยา วัดบวรนิเวศวิหาร นอกจากจะทรงปฏิบัติศาสนกิจแล้ว ยังได้ทรงศึกษาธรรมวินัยตามหลักสูตรที่พระราชอุปัธยาจารย์จัดถวาย และทรงสอบไล่ได้เป็นที่ 1 ของสนามสอบวัดบวรนิเวศวิหารในปีนั้นด้วย

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น พระองค์ทรงสร้าง ทรงพระราชนิพนธ์ และทรงริเริ่มสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาไว้หลายอย่าง กล่าวคือ ได้ทรงปฏิสังข์พระพุทธรูปยืนขนาดใหญ่ พระราชทานนามว่า พระร่วงโรจนฤทธิ์ ประดิษฐาน ณ พระวิหารโถงด้านหน้าต่อกับวิหารทิศเหนือของพระปฐมเจดีย์ ทั้งยังมีพระราชพินัยกรรมให้บรรจุพระบรมราชสรีรังคารส่วนหนึ่งไว้ที่ใต้ฐานพุทธบัลลังก์นั้นด้วย ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือเรื่อง “พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร” ทรงพระราชนิพนธ์แปลภาษาบาลีเป็นภาษาไทยเพื่อให้คนไทยได้เข้าใจความอย่างแจ่มแจ้ง เช่น มงคลสูตร และยังมีบทพาหุงที่ทรงพระราชนิพนธ์แปล โดยทรงรักษาคณะฉันท์วสันตดิลกของเดิมไว้ได้อย่างน่าพิศวง และมีการใช้บทแปลพาหุงดังกล่าวมาจนทุกวันนี้ ในบางครั้งทรงแสดงพระธรรมเทศนาที่เรียกว่า “พระบรมราชานุศาสนีย์” ทรงพระราชดำริให้มีอนุศาสนาจารย์ไปกับกองทหาร ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อประเทศสยามส่งทหารไปร่วมรบ ณ สมรภูมิยุโรปในสงครามโลกครั้งที่ 1 ทรงริเริ่มพระราชทานบัตรอำนวยพรในวันวิสาขบูชาตั้งแต่กลางรัชกาลของพระองค์ ทรงรับพระราชธุระปฏิสังขรณ์พระอารามสำคัญต่างๆ อาทิ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดบวรนิเวศวิหาร วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ วัดพระพุทธบาท สระบุรี และวัดพระปฐมเจดีย์ ทั้งยังทรงหารายได้จากกิจการต่างๆ พระราชทานไปบูรณะพระพุทธเจดีย์และพระอารามหลายครั้ง

ในส่วนของการสืบอายุพระศาสนา ทรงอาราธนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสให้ทรงเป็นแม่กองชำระคัมภีร์อรรถกถาทั้งในส่วนพระวินัยปิฎก พระอภิธรรมปิฎก และพระสุตตันตปิฎกบางคัมภีร์ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ บรมราชชนนี และเมื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา ได้ทรงรับเป็นเจ้าภาพจัดพิมพ์อรรถกถาพระสุตันตปิฎกจนครบบริบูรณ์ แล้วโปรดพระราชทานไว้ในพระราชอาณาจักร 200 ชุด กับนานาประเทศอีก 400 ชุด

ในส่วนของศาสนาอื่นๆ นอกจากจะทรงรับเป็นองค์ศาสนูปถัมภกแล้ว ยังได้พระราชทานพระราชทรัพย์บำรุงศาสนานั้นๆ ตามควรแก่โอกาส


การอนุรักษ์โขน ละคร และดนตรี

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ได้ทรงจัดตั้ง “คณะโขนสมัครเล่น” ซึ่งต่อมามีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “โขนบรรดาศักดิ์” เนื่องจากผู้แสดงทั้งหมดเป็นผู้ที่รับราชการและได้รับพระราชทานให้มีบรรดาศักดิ์ ทรงเริ่มโดยยืมครูโขนละครผู้มีฝีมือดีจากบ้านเจ้าพระยาเทเวศรวงศ์วิวัฒน์ (หม่อมราชวงศ์หลาน กุญชร) มาฝึกสอนมหาดเล็กข้าในพระองค์อย่างจริงจังและถูกต้องตามแบบแผนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ภายหลังจากที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งกรมโขนหลวงเป็นส่วนราชการสังกัดในกรมมหรสพซึ่งขึ้นตรงต่อกรมมหาดเล็กแล้ว ได้โปรดให้ครูโขนละครฝีมือดีมีบรรดาศักดิ์และราชทินนามต่างๆ ตามความสามารถของแต่ละบุคคล

ทรงพระราชนิพนธ์บทละครพูด และโปรดให้คณะโขนบรรดาศักดิ์เปลี่ยนมาเล่นละครพูดแทน ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมคณะผู้แสดงละครพูดจัดเป็น “คณะละครศรีอยุธยารม” และโปรดฯ ให้คณะละครนี้จัดการแสดงละครพระราชนิพนธ์และละครอื่นๆ เพื่อเก็บเงินบำรุงสาธารณกุศลมาเป็นลำดับตราบจนสิ้นรัชสมัย

พ.ศ. 2454 โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งกรมมหรสพ ขึ้นในสังกัดกรมมหาดเล็กหลวง รับผิดชอบราชการด้านดุริยางคศิลป์ โดยมีส่วนราชการในสังกัด คือ กรมปี่พาทย์หลวง กรมโขนหลวง และกองเครื่องสายฝรั่งหลวง ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งขึ้นเป็นวงศ์ดุริยางค์ชนิดออเคสตราวงแรกของประเทศไทยและภาคพื้นเอเชียอาคเนย์

พ.ศ. 2457 โปรดเกล้าให้จัดตั้ง “โรงเรียนทหารกระบี่หลวง” ซึ่งมุ่งเน้นฝึกหัดกุลบุตรให้มีความรู้ความชำนาญในวิชานาฏดุริยางคศิลป์ เพื่อสืบทอดศิลปวัฒนธรรมอันทรงคุณค่ามิให้เสื่อมสูญ ภายหลังโรงเรียนนี้ได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า “โรงเรียนพรานหลวง” และถูกยุบเลิกไปเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต นักเรียนพรานหลวงซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี เช่น ศาสตราจารย์มนตรี ตราโมท นายเอื้อ สุนทรสนาน และนายอาคม สายาคม เป็นต้น


ศิลปกรรม

โปรดเกล้าฯ ให้ยกงานประณีตศิลป์ซึ่งกระจายกันอยู่ในกระทรวงโยธาธิการ และกรมพิพิธภัณฑ์ กระทรวงธรรมการ มารวมขึ้นใน “กรมศิลปากร” ที่โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้นใหม่เป็นส่วนราชการในสังกัดกระทรวงวัง


สถาปัตยกรรม

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างต่อเติมและก่อสร้างสถานที่สำคัญใหม่หลายแห่ง ซึ่งแต่ละแห่งจะมีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

  • โปรดเกล้าฯ ให้ดำเนินการก่อสร้างพระที่นั่งอนันตสมาคมและพระที่นั่งศรเพชรปราสาท (พระรามราชนิเวศน์หรือพระราชวังบ้านปืน) ที่ค้างมาแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจนแล้วเสร็จ
  • โปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างพระที่นั่งและพระตำหนักในพระราชวังสนามจันทร์หลายองค์ด้วยศิลปะสถาปัตยกรรมไทยอันงดงาม ที่มีการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมตะวันออกกับตะวันตกอย่างลงตัว
  • โปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างตึกบัญชาการโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับหอสวดและหอนอนของโรงเรียนมหาดเล็กหลวงด้วยสถาปัตยกรรมตะวันตกแต่ตกแต่งด้วยลวดลายอย่างไทย เกิดสถาปัตยกรรมรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “สถาปัตยกรรมไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว” หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ฝรั่งแต่งเครื่องไทย”
  • ในปี พ.ศ. 2466 โปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการก่อสร้างพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน เป็นพระราชวังฤดูร้อน โดยทรงร่างแผนผังการก่อสร้างพระราชนิเวศน์ด้วยพระองค์เอง ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบไทยประยุกต์ (เรือนไทยผสมยุโรป) สร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลัง อาคารเปิดโล่งทั้งสองชั้น ใต้ถุนสูง พื้นล่างเทคอนกรีต หลังคาหมู่พระที่นั่งเป็นทรงปั้นหยาแบบไทย มุงด้วยกระเบื้องว่าวสี่เหลี่ยม เพดานสูง บนเพดานระเบียงทางเดินที่ทอดยาวเชื่อมต่อถึงกันนั้น ฉลุเป็นช่องลมโดยตลอด ตัวอาคารที่ยกขึ้นสูงให้ลมพัดผ่านสะดวก
  • ในตอนปลายรัชสมัย โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนิกชาวอิตาลีออกแบบและก่อสร้าง “บ้านนรสิงห์” และ “บ้านบรรทมสินธุ์” ด้วยสถาปัตยกรรมแบบยุโรป

ศัพท์บัญญัติ

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงคิดคำไทยที่จำเป็นให้ใช้กันมาจนทุกวันจำนวนมาก อาทิเช่น ตำรวจ โทรเลข ธนาคาร บริการ บริษัท บรรณาธิการ จักรยาน ราชนาวี เลขานุการ วิทยุ สหกรณ์ เอกสารห้องสมุด เครื่องบิน ปริญญา อนุบาล ฯลฯ


วรรณกรรม

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาสามารถในด้านการประพันธ์อย่างยอดเยี่ยม ทรงได้รับการเฉลิมพระเกียรติคุณด้วยพระราชสมัญญาว่า “สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า” องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติได้ยกย่องพระเกียรติคุณของพระองค์ในฐานะที่ทรงเป็นนักประพันธ์ กวี และนักแต่งบทละคร นับเป็นปราชญ์สยามคนที่ 5

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใฝ่พระทัยในการประพันธ์มาแต่ยังทรงพระเยาว์ โดยทรงเริ่มจากการจดบันทึกพระราชกิจรายวัน ครั้นเสด็จออกไปทรงศึกษายังต่างประเทศ ได้ทรงศึกษาภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส ทรงใช้เวลาว่างในการทรงพระราชนิพนธ์บทละครภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส ทั้งยังทรงบันทึกเหตุการณ์สำคัญที่ทรงพบเห็นไว้ในรูปพระราชหัตถเลขา เมื่อเสด็จพระราชดำเนินนิวัตพระนครแล้วก็ได้ทรงใช้เวลาว่างในแต่ละวันพระราชนิพนธ์บทละคร บทความ นิทาน และอื่นๆ ไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อคราวฉลองพระบรมราชสมภพครบ 100 ปี คณะกรรมการรวบรวมและค้นคว้าเกี่ยวกับพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้สำรวจและรวบรวมพระราชนิพนธ์ที่ทรงไว้ตลอดพระชนมชีพพบว่ามีจำนวนกว่า 1,200 เรื่อง และแม้เวลาจะล่วงมาถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่อาจรวบรวมให้สมบูรณ์ได้

พระราชนิพนธ์ทั้งหมด ได้แก่ บทโขน บทละคร บทร้อยกรอง นิทาน เรื่องชวนหัว พระราชดำรัส พระบรมราโชวาท บทปลุกใจ พระราชบันทึก พระราชหัตถเลขา พระบรมราชานุศาสนีย์ สารคดีต่างๆ และบทความในหนังสือพิมพ์ นั้น นอกจากจะเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางวรรณศิลป์ ด้านเนื้อหาสาระ และสำนวนโวหารอันสละสลวยดังที่วรรณคดีสโมสรยกย่องแล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวยังได้ทรงใช้บทพระราชนิพนธ์หลายเรื่องเป็นอุปกรณ์ในการพระราชทานความรู้ในเรื่องต่างๆ เช่น เรื่องประชาธิปไตย ตำนานชาติไทย ฯลฯ แก่พสกนิกรไทยมาโดยตลอด ทั้งในบทพระราชนิพนธ์ยังเต็มไปด้วยข้อคิดคำคมที่มีความหมายลึกซึ้ง เป็นที่จดจำสืบต่อมาจนทุกวันนี้

นอกจากพระราชนิพนธ์บทละครภาษาไทยแล้ว ยังทรงพระราชนิพนธ์บทละครภาษาอังกฤษอีกหลายเรื่อง ส่วนพระราชนิพนธ์แปล ทรงแปลบทละครภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสไว้หลายเรื่องเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทละครของวิลเลียม เชคสเปียร์ กวีคนสำคัญของอังกฤษ ซึ่งทรงแปลเป็นบทกวีไทยที่สละสลวยและรักษาอรรถรสของบทประพันธ์เดิมไว้ได้อย่างครบถ้วน อีกทั้งทรงแปลบทละครพระราชนิพนธ์ภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษไว้อีกหลายเรื่องอีกด้วย


การกีฬา

ทรงส่งเสริมกิจการฟุตบอลอย่างจริงจัง ด้วยทรงเห็นว่านอกจากสนุกแล้ว ยังสอนให้มีน้ำใจรู้แพ้รู้ชนะ และฝึกร่วมมือกันเป็นทีม มิใช่แสดงความเด่นแต่ผู้เดียว กิจการฟุตบอลเจริญมากจนมีชุด “ทีมชาติ” มีการแข่งขันชิงถ้วยพระราชทาน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา “ข้อบังคับลักษณะปกครองคณะฟุตบอลแห่งสยาม” ในปี พ.ศ. 2459