บทคัดย่อวิทยานิพนธ์ เรื่องนี้เป็นการศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงของกรุงเทพฯ และผลกระทบทางสภาวะแวดล้อมต่อประชาชน ในช่วงรัชกาลที่ 5-7 โดยศึกษาถึงสภาพการณ์การเปลี่ยนแปลง สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงภายใต้เงื่อนไขและปัจจัยทางกายภาพและทางสังคม และผลกระทบทางสภาวะแวดล้อมต่อประชาชนจากการเปลี่ยนแปลงนั้น ในการศึกษาถึงสภาพการณ์การเปลี่ยนแปลง ได้แสดงถึงความสัมพันธ์ของปัจจัยทางเศรษฐกิจต่อการเปลี่ยนแปลงของเมืองกรุงเทพฯ ในช่วงหลังการทำสนธิสัญญาเบาริ่ง ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเมืองในลักษณะสำคัญ 2 ประการคือ การขยายตัวทางด้าน กายภาพ และการทวีบทบาทหน้าที่ของเมืองในด้านพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม โดยได้แสดงถึงปรากฏการณ์จากการเปลี่ยนแปลงนั้นหลายประการ ที่สำคัญได้แก่ อัตราความต้องการใช้ที่ดินในเมืองที่ทวีสูงขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การพิจารณาถึงเงื่อนไขและปัจจัยทางกายภาพและทางสังคมต่อการเปลี่ยนแปลงของเมือง อันจะชี้ให้เห็นว่า ต่อกระแสความต้องการใช้ที่ดินที่สูงเช่นนี้ รัฐสามารถพัฒนาเมืองและควบคุมการใช้ที่ดินไค้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด หลังจากได้ภาพของการเปลี่ยนแปลงของเมืองกรุงเทพฯดังกล่าวแล้วข้างต้น ไค้นำมาพิจารณาถึงสาเหตุเบื้องหลังของกระบวนการเปลี่ยนแปลง โดยพิจารณาภายใต้เงื่อนไข และปัจจัยทางกายภาพและทางสังคมที่จะพึงมีต่อการเปลี่ยนแปลงของเมือง ทั้งนี้ได้นำเสนอประเด็นเพื่อพิจารณาหลายประเด็นได้แก่ สถาบันสังคมและระบบกรรมสิทธิ์ในที่ดินกับการขยายตัวของเมือง ความเหลื่อมล้ำของสถานภาพทางเศรษฐกิจสังคมกับการแสวงประโยชน์จากการพัฒนาเมืองโดยรัฐ อำนาจการปกครองของสถาบันสังคมกับการจัดระเบียบชุมชนและการใช้ที่ดิน ปรากฏการณ์สำคัญจากการเปลี่ยนแปลงของกรุงเทพฯ : ปัญหาจากเงื่อนไขทางกายภาพและภาพสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของบทบาทหน้าที่และคุณประโยชน์ใช้สอยของเมือง นโยบายและบทบาทของรัฐในการแก้ปัญหาของเมืองและการจัดการระบบสุขาภิบาล
นโยบายและบทบาทของรัฐในการพัฒนาระบบชลประทานเพื่อสนองรับการเปลี่ยนแปลงของเมืองภายใต้ระบบเศรษฐกิจเกษตรกรรมเพื่อการค้า ซึ่งประเด็นต่างๆ ดังกล่าว ล้วนแสดงถึงความเป็นเงื่อนไขที่ทำให้รัฐไม่สามารถพัฒนาเมืองและควบคุมการใช้ที่ดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาสภาวะแวดล้อม อันจะส่งผลกระทบต่อสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านคุณภาพชีวิต จากสภาพการณ์การเปลี่ยนแปลงของเมืองกรุงเทพฯและการพิจารณาถึงเงื่อนไขและปัจจัยทางกายภาพและทางสังคมต่อการเปลี่ยนแปลงของเมืองดังกล่าวข้างต้น ได้นำผลการศึกษาดังกล่าวมาศึกษาต่อสภาพสังคมกรุงเทพ ในช่วง รัชกาลที่ 5-7 โดย พิจารณาถึงความสัมพันธ์เชิงปฏิสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของเมืองและผลกระทบทางสภาวะแวดล้อมต่อประชาชน ผลปรากฏว่า สภาพสังคมที่ชนชั้นสูงและกลุ่มผู้ประกอบการในภาคพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม กับชนสามัญ ได้แก่ กลุ่มกรรมกรและชาวนาในชานเมืองและ ปริมณฑลกรุงเทพฯ มีความเหลื่อมล้ำกันมากทางด้านสถานภาพทางเศรษฐกิจสังคมและการที่ที่ดินซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญตกอยู่ในมือของกลุ่มผู้ครองอำนาจทางเศรษฐกิจ ตลอดจนการที่เมืองกรุงเทพได้รับการพัฒนาทางวัตถุเป็นแบบเมืองสมัยใหม่ ทำให้วิถีการดำรงชีวิตของประชาชนกรุงเทพฯเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมและก่อกำเนิดวัฒนธรรมเมืองที่มีเงินตราเป็นเครื่องเกื้อหนุน โดยมีชนชั้นสูงและกลุ่มผู้ประกอบการเป็นผู้มีบทบาททางวัฒนธรรม ความแตกต่างทางฐานะทางเศรษฐกิจ และช่องว่างทางวัฒนธรรมระหว่างชนชั้นสูงและกลุ่มผู้ประกอบการกับชนสามัญที่บังเกิดขึ้น ทำให้ความสามารถในการปรับตัวของประชาชนสองชนชั้นดังกล่าวภายใต้ระบบเศรษฐกิจและวิถีการดำรงชีวิตแบบใหม่ในสังคมเมืองมีไม่เท่าเทียมกัน โดยที่ฝ่ายชนสามัญ ไท้แก่ กลุ่มกรรมกรและชาวนา จะเป็นฝ่ายได้รับผลกระทบทางสภาวะแวดล้อมทางสังคมและคุณภาพชีวิตในด้านลบ สภาพสังคมดังกล่าวได้ก่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายของชาวนาจากปริมณฑลกรุงเทพเข้าไปหางานหาในชุมชนเมือง ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างปัญหาชุมชนแออัดและปัญหาสภาวะแวดล้อมอื่นๆ ให้สูงขึ้น อันก่อให้เกิดวิวัฒนาการของปัญหาเมืองกรุงเทพฯถึงในปัจจุบัน