บทคัดย่อวิทยานิพนธ์ฉบับนี้มุ่งศึกษาถึงผลกระทบของการเก็บภาษีอากรต่อสังคมไทยตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงระบบการเก็บภาษีอากรในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 เพื่อพิจารณาว่าผลจากการเปลี่ยนแปลงระบบจัดเก็บทำให้สังคมเปลี่ยนแหลงอย่างไร ทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม ในการศึกษาเรื่องนี้จึงต้องพิจารณาทั้งโครงสร้างสังคม และ โครงสร้างเศรษฐกิจแบบเดิม ตลอดจนวิธีการจัดเก็บภาษีอากรและการเปลี่ยนแปลงเพื่อจะได้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงสังคมมากขึ้น ทั้งในด้านสาเหตุ วิธีการ และผลจากการเปลี่ยนแปลง ผลจากการศึกษาพบว่า แต่เดิมการจัดเก็บผลประโยชน์ของรัฐ ทำในรูปการเกณฑ์แรงงาน ส่งสิ่งของและเงินตรา สมัยรัตนโกสินทร์มีการเปลี่ยนแปลงการจัดเก็บครั้งสำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยการใช้ระบบเจ้าภาษีนายอากร ให้เอกชนเป็นผู้ผูกขาดภาษีอากร วิธีนี้เจ้าภาษีนายอากรจะประมูลเสนอเงินจำนวนหนึ่งให้กับรัฐแล้วไปเก็บรวบรวมเงินภาษีจากประชาชน กำไรของเจ้าภาษีนายอากรขึ้นกับการติดตามเก็บเงินของเจ้าภาษีนายอากรเอง แม้ว่าระบบเจ้าภาษีนายอากรจะทำรายได้จำนวนมากในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ระบบนี้ได้ก่อให้เกิดข้อบกพร่องหลายประการ เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถควบคุมเจ้าภาษีนายอากรได้จริงจัง ราษฎรจึงเดือนร้อนจากการขูดรีดหลายลักษณะ เช่น การตั้งภาษีอากรหลายประเภทและซ้ำซ้อน และสำคัญที่สุดในระยะต่อมาคือ ระบบนี้มีส่วนเสริมให้กลุ่มขุนนางเติบโตขึ้นมาจากความสัมพันธ์กับเจ้าภาษีนายอากรและระบบสังคมแบบเดิมซึ่งเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มขุนนางมีอำนาจทางการเมือง และได้รับผลประโยชน์นท้องถิ่นมาก ในขณะที่ส่วนกลางไม่มีโอกาสได้รับผลประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ด้วยเหตุนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงปรับปรุงการเก็บภาษีอากรใหม่ พร้อมๆ กับการปฏิรูปการคลังและการปฏิรูปการปกครอง โดยรัฐมีบทบาทในการควบคุมการจัดเก็บภาษีอากรมากขึ้น จุดเริ่มต้นในการปรับปรุงระบบการจัดเก็บภาษีอากรของพระองค์คือ การตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ในปี พ.ศ.2416 ซึ่งเป็นการปรับองค์กรการทำงานด้านการจัดเก็บภาษีอากรให้รัดกุมและมีประสิทธิภาพขึ้น ทั้งยังเป็นส่วนสำคัญในการดึงและสร้างอำนาจศูนย์รวมทางการเมืองไว้กับสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะพระมหากษัตริย์ทรงสามารถควบคุมรายรับรายจ่ายของแผ่นดินได้ใกล้ชิดขึ้น โดยผ่านองค์กรการจัดเก็บภาษีอากร ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงนี้ได้ส่งผลให้อำนาจของขุนนางระดับต่างๆ ในส่วนกลางและหัวเมืองที่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องและได้รับผลประโยชน์จากการเก็บภาษีอากรในรูปแบบเดิมต้องลดลง ในส่วนของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกร แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงการจัดเก็บภาษีอากรครั้งนี้ก็ยังต้องรับภาระหนักในการเสียภาษีอากรเช่นเดิม และยังคงมิได้รับผลประโยชน์ตอบแทนโดยตรงจากรัฐ เนื่องจากการใช้จ่ายของรัฐบาลในสมัยต่างๆ มิได้เน้นหนักทางด้านการพัฒนาเกษตรกรรมและการค้าเท่าที่ควรหากให้ความสำคัญกับการพัฒนากองทัพ โดยเห็นความจำเป็นในแง่ความปลอดภัยและการป้องกันประเทศ ด้วยนโยบายของรัฐเช่นนี้ ฐานะทางเศรษฐกิจและสภาพความเป็นอยู่ของประชากรส่วนใหญ่จึงไม่ได้ดีขึ้นไปกว่าเดิม